วิธีสังเกตุง่ายๆเบื้องต้นว่า
ผ้าฝ้ายย้อมคราม ที่เราได้มานั้นเป็นการทอแบบใหน กี่ตะกอ คือให้เราสังเกตุ ผิวสำผัส, ความหนา รวมถึงรายละเอียดในเนื้อผ้า โดยที่
ผ้าที่ทอแบบ 2 ตะกอ ผิวเรียบ หน้า – หลังสีเหมือนกัน บางกว่า 4 ตะกอเมื่อใช้เส้นด้ายชนิดเดียวกัน
ผ้าที่ทอแบบ 4 ตะกอ ผิวไม่เรียบ มีลายในเนื้อผ้า ผ้าหนานุ่ม โดยที่การทอแบบ 4 ตะกอ มีการขึ้นลายหลายแบบ มีหลายลาย คือ จำนวนตะกอที่เท่ากัน ลายยกดอกอาจมีได้หลายรูปทรง
ตัวอย่างเนื้อผ้าแบบ 2 ตะกอ
ตัวอย่างเนื้อผ้าแบบ 4 ตะกอ
แต่คำว่า “ตะกอ” ไม่ได้เป็นตัวที่บอกความหนาของผ้าเสมอไป จะสามารถเทียบความหนากันระหว่าง 2 และ 4 ตะกอได้ก็ต่อเมื่อใช้เส้นด้ายชนิดเดียวกันในการทอ ตะกอไม่ได้กำหนดความหนาบาง เช่น 2 ตะกอถ้าทอด้วยไหมบ้านก็จะหนากว่า 4 ตะกอไหมจุล
ตะกออาจเปรียบได้กับความยากง่าย ความซับซ้อนในการทอ รวมถึงประสบการณ์ ความชำนาญ และฝีมือของคนทอก็จะต้องมีมากพอสมควรถึงจะทำผ้าที่มากกว่า 2 ตะกอ ออกมาได้ปรานีต สวยงาม ยิ่งตะกอเยอะยิ่งซับซ้อน
ความแตกต่างอย่างเห็นได้ชัดสำหรับผ้า 2 ตะกอและ 4 ตะกอ สามารถดูได้จากวีดีโอคลิปข้างบนได้เลยครับ
“ตะกอ” (บางที่เรียกว่า “เขา”)
ทำด้วยเส้นด้ายที่มีความเหนียวพิเศษพิเศษคล้องอยู่กับด้ายยืนทุกเส้น ประโยชน์ของตะกอ คือ ช่วยทำให้ด้ายยืนถูกแบ่งเป็นส่วนๆ เมื่อคนทอเหยียบไม้ เท้าเหยียบ ตะกอจะถูกแยกด้ายยืนออกเป็นช่องหรือเป็นแผ่นด้านล่าง/ด้านบน แล้วจึงสอดด้ายพุ่งไปตามช่องด้ายยืนนั้น และเมื่อสลับเท้าเหยียบ ตะกอจะสลับด้ายยืนจากด้านล่างขึ้นบนและบนลงล่างเพื่อขัดเส้นพุ่งไว้ในขณะทอผ้า
เปรียบง่ายๆ จำนวนตะกอเหมือนเป็น 1 ชุดลาย เช่น 30 ตะกอมีเชือกผูกร้อยไม้ไว้ 30 อัน ต้องเหยียบทอครบ 30 ได้ 1 ช่วงดอก แล้วจึงวนใหม่ 1 จนครบ 30 ค่ะ ยิ่งตะกอมากจึงยิ่งยาก ซับซ้อน คนทอต้องใช้สมาธิสูง พลาดไป ลุกไปทำตากข้าวเปลือก เดินกลับมาเหยียบผิดนี่งานเข้า ผ้ามีตำหนิ ราคาตก ขาดทุนเข้าไปอี๊ก
ถ้าคิดละเอียดรอบคอบเป็นอันขาดทุนค่ะ ไม่มีกำไรหรอกงานทอผ้า